วันนี้สอบเสร็จ ไปดูหนังกับเพื่อน เลือกเรื่อง Hobbit โดยพลัน เพื่อนทั้ง 4 คนไม่เคยดูภาคแรก มีแต่ผมคนเดียว ทำให้ต้องทำหน้าที่เป็นคนบอก อะไรคืออัลลัย ==”

เรื่องราวโดยย่อทั้งหมดเขียนไว้ในบล็อกเก่าแล้ว จิ้มๆ The Hobbit: An Unexpected Journey เพิ่งดูจบไปชั่วโมงกว่า

ตึ้ดดดด ก่อนอื่นจะขอบอกว่าบล็อกนี้ไม่พูดถึง The Lord of the Ring นะ เพราะไม่เคยดู ถึงแม้จะมีคนมาแย้งว่า เคยดูจบแล้วหรอ หรืออะไรก็ตาม บลาๆ จะเขียนรีวิว The Hobbit ต้องดู The Lord of the Ring จบด้วยหรอ ==”

เริ่มๆๆ

The hobbit เป็นหนังไตรภาค ที่ต้องดูต่อๆกัน ไม่งั้นจะไม่ครบฟีล เหมือนผมดูภาคหนึ่งจบแล้ว ต้องมาดูภาคสองให้ได้ ไม่งั้นไม่เหมือนไม่จบ และพอจบภาคสองแล้ว หากมีภาคสามก็ต้องดูให้ได้เช่นกัน หากจะถามว่าจะดูภาคสอง จำเป็นไหมที่ต้องดูภาคแรกก่อน คำตอบคือ โคตรๆเลย เพราะหนังไม่ย้อนเรื่องให้เลยสักแอะ [อาจมีตอนแรกนิสสนึง] จากนั้นคือต่อจากภาคเก่าหมดเลย** สรุปคือไม่ดู คุณ งง แน่ครับ**

เนื้องเรื่องมีการนำเสนอฉากแอคชั่นต่อสู้ให้ดูเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ได้มีเยอะ มีแค่ให้เพียงพอต่อความสนุกเป็นกับแกล้ม [?] ให้เราได้สนุก และลุ้นว่ามันจะรอดไหมในหลายๆครั้ง ซึ่งหากเราได้ดูตัวอย่างหนังแล้ว อาจมีการทึ่งในการจัด Effect บ้าง [?] ทั้งการจัดฉาก CG พวกตัวออร์ค และสัตว์ประหลาดทั้งหลายนั้นละ นี้ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้คุณเพื่อนเอ่ยชม

จากการดูไปทั้ง 2 ภาค รู้สึกว่านี้มันเรื่อง Hobbit หรอ ทำไมคุณหนูบิลโบที่เป็นพระเอก เป็นตัวดำเนินเรื่องกลับถูกแย่งซีนไปด้วยหัวหน้าคนแคระเกือบหมด [ยิ่งกว่าภาคเก่าอีก]

เรื่อง นอกจากรเรื่องบิลโบตัวเอกที่โดนแย่งซีนแล้วตัวละครทั้งหลายทำหน้าที่ของตัวเองสมบทบาทดี แต่เกลียดเอล์ฟชะมัด [หน้าหล่อซะเปล่า] และเสียงพากษ์มังกร[ที่ตอนแรกยังตกใจอยู่ว่า มังกรมันพูดได้ด้วยย] น่าเกรงขาม น่ากลัวมากกก เหมาะแก่การเป็นมังกรสุดๆ [แนะนำว่าให้ดูพากษ์ภาษาอังกฤษ จะได้ฟีลการเป็นบิลโบเลย]

เมื่อเทียบกับภาคแรกแล้ว ภาคนี้มีฉากแอคชั่นที่ไม่สนุกเท่าภาคก่อน แต่ภาคนี้อาจมีเนื้อเรื่องที่เข้มข้นกว่าในมุมของผมนะ แต่รวมๆแล้วชอบหมดเบยยยย

สรุป ตัวหนังมีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง [ยังบ่นกับเพื่อนเลย หิวววววว~~~] สามชั่วโมงนี้กับค่าตัวร้อยกว่าบาท ถือว่าคุ้มมาก ไม่เสียดายค่าตั๋วเลย ถ้ามีภาค 3 ก็ขอดูอีกแน่นอนครับ

คะแนนส่วนตัว อันไม่มีเกณฑ์อันใดวัด ⁹⁄₁₀