เรื่องนี้ผมอยากเขียนตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นแล้ว เรื่องที่ผมไปก็อยากเขียนเป็นตอนๆ แต่ด้วยความขี้เกียจจึงเขียนรวดเดียวจบเลย แหะๆ ไปอ่านกันได้ที่บล็อกตอนอินหนีเที่ยว
วันนั้นเป็นวันที่เราจะต้องไปกินปูยักษ์ แพงมหาบรรลัย [มื้อนั้นกินไป 5000 กว่าบาทไทย] และช็อปปิ้งชิวๆต่อที่ Dotonbori ซึ่งที่นี้มีจุดเด่นเรื่อง หุ่นขี้ผึ้ง Glico [มองเผินๆทีแรกแล้วนึกว่าอาเบะ] ลักษณะเชิดแขนวิ่งเข้าเส้นชัย คนที่มาที่นี้แล้วไม่มาถ่ายรูป ถือว่ามาไม่ถึง
เรื่องมันมีอยู่ว่า Dotonbori มันปิดประมาณ 3 ทุ่ม ทำให้ผมไม่สามารถกินปูได้เต็มที่ [ตอนจะเริ่มกินก็ทุ่มกว่าๆแล้ว] แถมร้านปูยักษ์ยังไม่มีของเสิร์ฟ กำลังไปซื้อวัตถุดิบ [ทำให้เกิดการด่าเป็นภาษาไทยชุดใหญ่ พนักงานผู้โชคร้ายก็ดันฟังภาษาไทยรู้เรื่องด้วย] และผมต้องการกลับไปอาบน้ำแบบ Japanese Style ด้วยความที่ว่าอาบน้ำแบบ Western ด้วยน้ำอุ่นสุดแสนสบายมาหลายวันแล้ว
รีบด่าพนักงาน กินปู แล้วใช้ตั๋ว Pass 3 วัน ที่ซื้อไว้บึ่งกลับ hostel พร้อมกับท่านแม่โดยพลัน อาบน้ำแบบ Japanese Style แล้ววิ่งขึ้นรถไฟกลับ Dotonbori อีกที[กลัวมันปิด] พอออกจากรถไฟผมเดินไปหาทางออกที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว [ตึก ตึก ตึก ตึก] จนพลัดหลงกับท่านแม่ไปเสีย [เกือบได้อยู่ญี่ปุ่นตลอดชีวิตแล้ว ฮ่าๆ] เน็ตก็ใช้ไม่ได้ โทรศัพท์แบตก็จะหมด
หลังจากนั้นผมเดินไปเรื่อยๆ [ในใจคิดว่าชิบหายและ] โดยใช้แผนที่ในมือถือที่ใช้ Wifi จาก hostel แคชไว้เหลือนิดเดียวเท่านั้น TT เดินไปถามคนแถวนั้นว่า “How can i go to Dotonbori” คนญี่ปุ่นทำท่างงเง็ง แต่ดูเหมือนว่าเข้าใจว่าผมกำลังหลงทางแล้วอยากไป Dotonbori แต่เขาดันไม่รู้จัก Dotonbori ซะได้ [ทั้งๆที่ข้ามถนนไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว] ผมเลย Say Thank you Thank you แล้วเดินต่อ
ทำอะไรไม่ถูกเข็มทิศในมือถือก็เชื่อไม่ได้ หมุนผิดอะไรอีก [เกิดขึ้นหลายครั้ง เดินหลงทางยกใหญ่ เลยไม่อยากเชื่อมันแล้ว TT] เดินกลับสถานีนั่งรถไฟกลับ hostel เพียงลำพัง TT
โชคดีที่วันนั้นผมกลับถูกขึ้นรถไฟถูก[รถไฟที่ญี่ปุ่นซับซ้อนบรรลัย] ไม่งั้นป่านนี้ผมอาจจะไม่ได้มานั่งเขียนอยู่ที่ไทยก็ได้ :D
ชอบบทความนี้รึเปล่า?
กดทวิตเป็นกำลังใจ 🤟